วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

วิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ 3 (ครั้งที่7)

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2551
นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ แขนงการตลาดได้มีการจัดสัมนาโดยการเชิญวิทยากรมาบรรยาย ซึ่งได้รับเกียรติจาก Dr.Vuttapong Larpcharoen มาบรรยายในครั้งนี้ โดยพูดถึงเรื่อง " Generation and Marketing " โดยจะพูดถึง 6 Generation ด้วยกัน
  1. Baby Boomers (1946-1964) คนเจนนี้ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 15.7 ล้านคน , ชีวิตและเรื่องราวของชีวิตมักจะเกี่ยวข้องกับครอบครัว เน้นความมั่นคงในชีวิต ยุคนี้จะเน้นอาชีพข้าราชการเป็นหลักเพราะมั่นคง หลังเกษียณแล้วก็ยังมีเงินบำนาญ ส่วนใหญ่จะแต่งงานเร็ว มีลูกเยอะ ไม่ค่อยหย่าร้าง ไม่ค่อยเปลี่ยนงาน มีกำลังซื้อสูง เน้นการประนีประนอม มีประสบการณ์ในชีวิตมาก ห่วงเรื่องสุขภาพเพื่ออยู่เห็นความสำเร็จของลูกหลาน
  2. Yuppies (Young Urban Professionals) เป็นกลุ่มที่กล้าแสดงออก ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย มีรายได้สูง อำนาจการซื้อสูงมาก นิยมทำงานบริษัทเอกชนเพราะรายได้สูง คนยุคนี้จะแต่งงานช้า เริ่มใช้ Internet ในช่วงวัยรุ่น ซื้อสินค้าแบรนด์ดัง มีความต้องการเป็นของตัวเอง และ2สิ่งที่ต้องมีก็คือรถกับเสื้อผ้า จะใช้จ่ายเงินมากกว่าที่ได้รับมา เป็นพวกห่วงภาพลักษณ์มาก สินค้าที่จะเข้าถึงกลุ่ม Yuppies ได้ต้องเป็นสินค้าที่ดังมีชื่อเสียง
  3. Generation X (1965-1980) คนเจนนี้ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 16.4 ล้านคน อายุประมาณ 25-39 ปี ไม่ค่อยมีความเป็น Team Worker มักเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังมี Balance ตัวเองในการเข้าสังคม มักอยู่คอนโดมีเนียม มีคอมพิวเตอร์ใช้ ยุคนี้ผู้ชายจะใช้เครื่องสำอางค์และรู้จักเครื่องสำอางค์มากกว่าผู้หญิง มีการใช้ Condom หาสินค้าที่คุ้มค่ากับเงิน พยายามตัดค่าใช้จ่ายเพื่อหาสินค้าที่เข้ากับตัวเอง เริ่มมีเงินสินเชื่อเพิ่มเข้ามา แต่งงานค่อนข้างช้า คนยุคนี้เป็นมนุษย์เงินเดือนยอมย้ายงานเพื่อจะได้เงินเดือนมากขึ้น สินค้าที่มียี่ห้อแบรนด์ธรรมดาก็ใช้ได้ถ้าคุ้มค่าที่จะซื้อ
  4. Generation Y (1981-1995) คนเจนนี้ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 15.9 ล้านคน อายุประมาณ 10-24 ปี เป็นพวกกล้าแสดงออก ต้องการความเป็นตัวเองสูง ไม่ชอบยุคของพ่อแม่ ไม่ใช่พวก Team Worker มักมีศัพท์แปลกๆที่ไม่เคยได้ยินจำนวนมาก เช่น กิ๊ก , เด็กแนว , เด็กแว๊น , สะก๊อย ฯลฯ ยุคนี้ภาษาอังกฤษกับคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ชอบมีเจ้านาย พวกชอบแหกกฎ
  5. Generation Z (1996-2008) คนเจนนี้ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 9.6 ล้านคน อายุต่ำกว่า 9 ปี เป็นกลุ่มที่ลืมตาขึ้นมาในโลกที่มี Internet กำลังเบ่งบานเต็มที่ จึงตอบรับเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ดี เด็กกลุ่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากในการตัดสินใจซื้อของพ่อแม่ เป็นพวกบ้าคอมพิวเตอร์ เน้นความแตกต่างไม่เหมือนใคร เป็นความหวังของอีคอมเมิร์ซ กลุ่มพวกนี้จะรับมุขเร็ว
  6. Generation C (Generation of Content) ไม่สามารถแบ่งแยกได้ด้วยอายุ มีพฤติกรรมโดดเด่นทางด้านการรับและส่งข้อมูล มีคอมพิวเตอร์ใช้ มี lifestyle ในการ connecting people ตลอดเวลา จะ update อยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมตกกระแส ไม่งั้นจะเชย ต้องเช็ค e-mail , เล่น Hi5 , คุยกับเพื่อนทาง MSN , blog ตื่นตอนเช้าเพื่อดูรายการข่าว ใช้ Internet ในการค้นหาข้อมูลประกอบการทำงานและซื้อสินค้าต่าง ๆ เป็นยุคที่ใครมีข้อมูลมากกว่าก็มีโอกาสชนะในการแข่งขันมากกว่า (Information Edge)

ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนครั้งนี้ :

  1. ได้ทราบถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในแต่ละ Generation ว่าเป็นอย่างไร
  2. ได้ทราบถึงการพัฒนาแนวทางการใช้ชีวิตและความนึกคิดของผู้คนในแต่ละ Generation ว่าเป็นอย่างไร

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

ทัศนคติ-ความสัมพันธ์ บันไดความสำเร็จ Sales Talent

"เพียงแค่คุณเชื่อมั่นในตัวเองว่า คุณคือสินค้าที่ดีที่สุดในโลก คุณก็จะประสบความสำเร็จในอาชีพได้อย่างมั่นคง"สิ่งที่ "โจ จีราร์ด" เขียนไว้ในหนังสือ ยอดนักขายบันลือโลก อาจโดนใจหลายคน แต่ในทางปฏิบัติจะทำอย่างไรให้ก้าวไปให้ถึงจุดนั้น ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา "คม สุวรรณพิมล" เจ้าของหนังสือ best seller ด้านการพัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จ ได้หอบความรู้ เคล็ดลับดีๆ ในการก้าวสู่ sales talent มา coach ให้เซลส์ที่ต้องการก้าวสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ฟังหัวใจสำคัญของการก้าวสู่ sales talent ที่โค้ชคมเน้นย้ำอย่างมากในงานสัมมนา ครั้งนี้คือ เรื่องการสร้างทัศนคติที่ดีและการสร้างห่วงโซ่ความสัมพันธ์"คม" ได้หยิบผลสำรวจของนโปเลียน ฮิลล์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองเล่มแรกของโลก เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาชี้ให้เห็นว่า คนกลุ่มนี้มีคุณสมบัติอย่างไร จึงสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าได้อย่างสง่างาม โดยหลักๆ คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.ต้องมีเป้าหมายในการทำงานที่แน่นอน 2.มีความเชื่อมั่นในตัวเอง 3.มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เมื่อหันมาดูเซลส์ จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?ขั้นแรกคงต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมาจากผลการสำรวจพบว่า เซลส์ 82% ไม่สร้างความแตกต่างของตนเองได้ 86% เซลส์มักถามคำถามผิด 82% เซลส์เห็นราคาเป็นเรื่องสำคัญ จึงใช้วิธีลดราคาเมื่อปัญหาของเซลส์เป็นเช่นนี้ จะขายสินค้าอย่างไร ?
"คม" ให้นิยามการขายของเซลส์ว่า จะต้องเป็นผู้นำคุณค่าไปให้ผู้บริโภค ไม่ใช่นำสินค้าไปให้ผู้บริโภค ฉะนั้นสิ่งที่เซลส์ จะต้องรู้ คือ สินค้าในมือมีคุณค่าอะไรต่อลูกค้า แล้วนำคุณค่านั้นไปให้ลูกค้า ยกตัวอย่าง โทรศัพท์มือถือ แทนที่เซลส์จะไปบอกลูกค้าว่า โทรศัพท์รุ่นนี้ราคาเท่าไหร่ ปุ่มไหนทำงานอย่างไรบ้าง จะต้องบอกลูกค้าเสมือนลูกค้าได้เป็นเจ้าของสินค้านั้นแล้ว เช่น คุณจะไม่พลาดการติดต่อในทุกๆ สถานที่ แม้ว่าจะอยู่หลังเขาก็ตาม เมื่อลูกค้าได้ฟัง เขาจินตนาการตามไปเรื่อยๆ แล้วจะมองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับหากจะถามว่า คุณค่าของสินค้าคืออะไร คำตอบคือสิ่งที่อยู่ในใจของลูกค้านั่นเอง "การบอกเล่าคือการขาย แต่ถ้าต้องการให้ผู้บริโภคซื้อสินค้า จะต้องถาม"เคล็ดลับการขายโดยใช้วิธีตั้งคำถาม หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยิน แต่ "คม" บอกว่า วิธีการนี้จะทำให้ลูกค้าลืมเรื่องราคาไปเลย เพราะคุณค่าที่ลูกค้าได้รับนั้นสูงกว่าราคาเพราะฉะนั้นถ้าสามารถสร้างคุณค่าให้กับสินค้าได้เยอะ ราคาอาจจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าเลยก็เป็นได้ แต่อย่างไรตามการจะนำเสนอคุณค่าของสินค้าให้ประสบความสำเร็จคงต้องอาศัยพื้นฐานของเซลส์ที่ดีประกอบ เซลส์ที่ประสบความสำเร็จกว่า 90% มีทัศนคติทางบวก ฉะนั้นสิ่งที่เซลส์ต้องพัฒนาอันดับแรก คือ ทัศนคติ ซึ่งต้องสร้างจากภายใน เพราะถ้าไม่มีภายในใจแล้วก็จะไม่ปรากฏออกมาภายนอก "คนที่มีทัศนคติทางบวกจะมองเห็นแต่โอกาส ขณะที่คนที่มีทัศนคติทางลบจะมองเห็นแต่ปัญหา สุดท้ายการขายก็ล้มเหลว"การเปลี่ยนทัศนคติคงไม่สามารถทำได้ ชั่วข้ามคืน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าสามารถทำได้ก็จะเปลี่ยนชีวิตจากที่เคยเป็นคนโชคร้าย มาเป็นคนโชคดีได ้ไม่ยากโดยสิ่งที่ต้องทำ คือต้องหยุดกล่าวโทษเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต หยุดกล่าวโทษผู้อื่น หันมาทำความรู้จักลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น ยืนหยัดจนกว่าจะได้รับคำตอบ และทำงานอย่างเต็มที่ สุดท้ายสำคัญมาก ต้องคิด ก่อนพูด "คนที่มีทัศนคติที่ดี หากเจอสถานการณ์ที่ลูกค้าเดินเข้ามาต่อว่า เขาจะกล่าวคำว่า ขอบคุณ แล้วถามตัวเองต่อว่า ฉันจะทำในสิ่งนี้ให้ดีได้อย่างไร จากนั้นหาทางพัฒนา ตัวเองต่อไป"นี่คือเคล็ดลับในการมองปัญหาที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายให้คลี่คลายไปในทางที่ดีได้ เพราะเมื่อมองความล้มเหลว ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ไม่ใช่ตัวบุคคล การแก้ไขก็จะง่ายมากขึ้น "คม" บอกว่า คนที่สนใจในความสำเร็จจะต้องเรียนรู้ที่จะมองความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของกระบวนการก้าวสู่ความเป็นสุดยอด ฉะนั้นถ้าอยากเป็นเซลส์ที่ดีจะต้องพัฒนาทัศนคติ และฝึกพูดคำเหล่านี้ให้ติดปาก นั่นคือ เยี่ยม ไม่มีปัญหา เป็นปัญหาที่ดี ใช่เลย เด็ดมาก ผมคิดว่าเราช่วยคุณได้ ถ้าเซลส์ทุกคนเข้าใจความเป็นจริง จะรู้ว่า สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ทัศนคติที่ดีคือ คอนเน็กชั่นหรือความสัมพันธ์ที่ดี เพราะประมาณ 50% ของความสำเร็จในการขายได้มาจากมิตรภาพที่ดีซึ่งในหนึ่งคนสามารถสร้างคอนเน็กชั่นได้ลึกถึง 6 ระดับ วิธีสร้างคอนเน็กชั่นมีด้วยกัน 2 รูปแบบ แบบแรก คือ การสร้างคอนเน็กชั่นแบบตัวต่อตัว ทำอย่างไรให้ลูกค้าคุยกับคุณ จากจุดนี้จะเห็นว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า "คุณรู้จักใคร" แล้ว แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า "ใครรู้จักคุณ"กลยุทธ์ในการสร้างความสัมพันธ์ฉบับอาจารย์คมบอกไว้ว่า ต้องเริ่มต้นด้วยความเป็นมิตร กำหนดภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตนเอง จะช่วยสร้างความมั่นใจได้ระดับหนึ่ง เวลาคุย ต้องมองตาเพื่อสร้างความนับถือ ที่สำคัญ ต้องมีทัศนคติเชิงบวกเพื่อที่จะทำ ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นบวก และให้ความสนใจคนอื่น ก่อนให้คนอื่นสนใจในตัวเองฉะนั้นก่อนที่จะสร้างคอนเน็กชั่นจะต้องหาคุณค่าในตัวเองให้เจอก่อน แล้วนำคุณค่านั้นไปมอบให้คนอื่น จะทำให้ตัวเอง ดูดี แล้วคุณค่านี้จะได้รับการบอกต่อไปยังเพื่อนใหม่อีก 6 คนแบบที่สอง คือ การสร้างเครือข่าย ตรงนี้ทำได้ไม่ยาก เคล็ดลับข้อหนึ่งคือ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 75% ในการพูดคุยกับคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และต้องเตรียมพร้อมก่อนที่จะปรากฏตัวเพื่อสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนใหม่ ไม่ว่าจะไปงานสัมมนา งานประชุมธุรกิจ หรือแม้แต่การประชุมสมาคมผู้ปกครอง ดูหนัง ดูละคร เซลส์มืออาชีพสามารถสร้างเครือข่ายได้หมด เพียงแต่ว่าจะเอาคุณค่าอะไรในตัวเองไปบอกกับคนอื่นฉะนั้นวันนี้ใครอยากประสบความสำเร็จในอาชีพเซลสต้องหา "คุณค่า" ในตัวเอง ให้เจอ


วิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ 3 (ครั้งที่6)

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2551
เวลา 14.30 น. เป็นวันจัดงานแสดงบูธของแขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ที่อาคารคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฝั่งตรงข้ามห้างตั้งฮั้วเส็ง (ถ.สิรินธร) ได้แบ่งจัดแสดงบูธที่ชั้น 2 และชั้น 3 รวมทั้งหมด 39 บูธ โดยจะมีคณาอาจารย์และบรรดานักศึกษาทั้งแขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจและแขนงอื่น ๆ เข้ามาร่วมชมและประเมินบูธ โดยทางแขนงคอมพิวเตอร์ได้จัดสมุดเซ็นชื่อเข้าเยี่ยมชมที่บูธต้อนรับด้านหน้าซึ่งตามแต่บูธก็จะมีคอมพิวเตอร์อยู่ 1 เครื่องเพื่อแสดงเว็บไซต์ของโครงการที่นักศึกษาทำขึ้นเอง และโปรแกรมประเมินโครงการที่จะให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมบูธได้ทำการประเมินตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ และสามารถบอกถึงความพอใจและข้อแนะนำที่จะให้ปรับปรุงเกี่ยวกับโครงการได้ การจัดแสดงบูธครั้งนี้เพื่อประเมินว่านักศึกษามีความสามารถในการบริหารงานหรือไม่ มีการทำงานกันเป็นทีมหรือไม่ โดยอาจารย์ที่มาประเมินมีคะแนนท่านละ 50 คะแนน แต่ละโครงการจะผ่านได้ต้องได้รับคะแนนอย่างน้อย 30 คะแนน เวลา 18.00 น. เป็นเวลาจบการแสดงบูธของแขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนครั้งนี้ :
  1. ได้ฝึกทักษะการบริหารงานธุรกิจอย่างเป็นระบบ
  2. ได้ฝึกทักษะความรับผิดชอบ ผ่านการทำงานเป็นทีม